สรุปมุมมองการเงิน–เทคโนโลยี–การลงทุนจาก Bitkub Meetup 2025 ครั้งที่6

Table of Contents

ในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว และโอกาสการลงทุนมีอยู่รอบตัว “ความรู้ทางการเงิน” หรือ Financial Literacy ไม่ใช่แค่เรื่องของคนที่เล่นหุ้น/คริปโต แต่คือภูมิคุ้มกันสำคัญของคนรุ่นใหม่ เราควรต้องเข้าใจการเงิน ระบบ และเข้าใจโลก

เราอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของระบบเศรษฐกิจโลกทั้งสงคราม เทคโนโลยี และพฤติกรรมการลงทุนที่เปลี่ยนไปแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“Crypto”

ย่อมาจาก คริปโทเคอร์เรนซี คือสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการบันทึกและยืนยันธุรกรรมแบบไร้ศูนย์กลาง โดยมี Bitcoin เป็นเหรียญแรกและใหญ่ที่สุดในตลาด

ซึ่งปัจจุบัน Crypto ไม่ใช่สินทรัพย์ที่เล็กๆแล้ว เพราะปี 2025 มูลค่าหลักทรัพย์ของตลาดคริปโต อยู่ที่ 3.692 ล้านล้าน คิดเป็น 2115.25% ของ มูลค่าหลักทรัพย์ Top 10 บริษัทในตลาดหุ้นไทย ที่ปัจจุบันมูลค่าอยู่ประมาณ 174.54 พันล้าน

หากมองคริปโตเป็นหนึ่งประเทศ Market Cap ของคริปโตเมื่อเทียบกับ GDP ประเทศอื่นๆจะคิดเป็นอันดับ 5 ของโลกรองจาก US, China, Germany, Japan

บิตคอยน์เพิ่งผ่านเหตุการณ์สำคัญที่เรียกว่า “Halving” เมื่อเดือนเมษายน 2024 ซึ่งเป็นกลไกในระบบของ บิตคอยน์ที่จะลดรางวัลการขุดลงครึ่งหนึ่งทุก 4 ปี โดยการ Halving มีผลทำให้ปริมาณบิตคอยน์ใหม่ที่เข้าสู่ตลาดน้อยลง ซึ่งเมื่อ supply ลด แต่ demand ยังคงเดิมหรือเพิ่มขึ้น → ราคาก็มีแนวโน้มจะสูงขึ้น 📈 (ตามหลักของเศรษฐศาสตร์)

เหมือนกับร้านก๋วยเตี๋ยว ถ้าร้านนึงผลิตได้วันละ 200 ชาม เมื่อก่อนขายชามละ 20 บาท แต่พอเงินในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นหรือคนต้องการมากขึ้น ราคาก็สูงขึ้นเป็นชามละเป็น 25.. 50.. บาท

Bitcoin เป็นสิ่งที่มีจำกัด ยังไงราคาก็ต้องเพิ่มขึ้น เหมือนก๋วยเตี๋ยว

สถิติบอกอะไรเรา ?

สถิติในอดีตแสดงให้เห็นว่า ราคามักจะพุ่งขึ้นภายใน 12–18 เดือนหลัง Halving และเหตุการณ์นี้เองที่นำไปสู่การเกิด “All Time New High (ATH)” ในปี 2025 ซึ่งมันคือจุดที่สินทรัพย์มีราคาสูงที่สุดในประวัติการณ์ จากสถิติการ Halving ที่ผ่านมา

  • 🐻 12 เดือนแรก = ตลาดหมี (จะเป็นช่วงที่ดีที่สุด)
  • 🐂 18 เดือนถัดมา = ตลาดกระทิง (ราคาตกลงมา)

ดังนั้นช่วงปลายปี 2025 จึงน่าจะเป็นช่วงพีค ช่วงนี้ราคาน่าจะยังไปได้อีก แต่เวลาที่บิตคอยน์ทำ All Time High จริงๆ มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่นาทีหรือชั่วโมง จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะขายได้พอดีเป๊ะ

พี่หมูมองว่าหากจะขายควรใช้วิธี DCA (ลงทุนโดยถัวเฉลี่ยต้นทุน) ออกทีละส่วน ไม่ใช่ขาย 100% ในครั้งเดียวเพราะเป็นเรื่องที่ยากมาก

ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์แบบดั้งเดิมเริ่มสั่นคลอน

ลองจินตนาการว่าเราเดินไปประเทศอื่น ไม่มีใครถือเงิน ‘บาท’ ติดตัว ต่างจากหยวน หรือ USD เพราะเราเป็นเพียงประเทศเล็กๆ ยิ่งถ้าเราถือเงินสดนานๆ ผลกระทบก็ยิ่งชัดเจน อย่างเช่นในประเทศลาว หากคุณเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ถือทรัพย์สินเป็นเงินสด… วันนี้คุณอาจเหลือแค่ 15% ของมูลค่า

และกลายเป็น ‘จน’ ได้ในทันที ทั้งที่ไม่ได้ใช้เงินเลย

ปัจจุบันหลายเริ่มไม่อยากถือพันธบัตรรัฐบาลมากเหมือนในอดีต เพราะคนเริ่มไม่มั่นใจในเสถียรภาพของระบบการเงินแบบเดิม

ในอดีต “ทองคำ” เคยเป็นที่พึ่งทางความมั่นคงทางมูลค่าอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดสงครามหรือวิกฤตการณ์ทางการเงิน เพราะในสถานการณ์ที่ระบบแลกเปลี่ยนอาจล้มเหลวหรือเงินกระดาษสูญเสียความน่าเชื่อถือ ทองคำยังคงเป็นทรัพย์สินที่หายากและมีมูลค่าคงที่ตลอดเวลา

ล่าสุด Microsoft ได้เปิด “MatterGen” โมเดล genAI ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการออกแบบวัสดุใหม่ ๆ ตามคุณสมบัติที่ต้องการ จนสามารถนำไปสังเคราะห์วัสดุใหม่ได้ (Synthesis Material)

คำถามคือ… หากในอนาคตสามารถสร้างวัสดุอะไรขึ้นมาก็ได้ ทองคำอาจจะยังมีมูลค่าสูงไหม ?

นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้คนเริ่มมองหาสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าของมันไว้ได้ (Store of Value) รูปแบบใหม่ และบิตคอยน์ก็กำลังกลายเป็นตัวเลือกสำคัญ

.

‘ระบบการเงินของโลกมักจะเปลี่ยนทุก 50 ปี’

ส่วนใหญ่มาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (Depression) หรือผลของสงครามโลก

หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญคือ ‘Nixon Shock’ ในปี 1971 ซึ่งประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ตัดสินใจยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกับทองคำ ทำให้ระบบ Bretton Woods ล่มสลาย และนำไปสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และในช่วงนี้ก็มีสัญญาณหลายอย่างที่อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการเงินของโลก

“รายใหญ่”เข้ามาขับเคลื่อนบิตคอยน์ในรอบนี้

วันนี้บิตคอยน์ถูกปล่อยออกมาแล้ว 19.68M เหรียญ แต่ใน 1 ปีที่ผ่านมา เหรียญกว่า 24% ถูกถือโดย “รายใหญ่” เช่น ETF, ธนาคาร, สถาบันการเงิน, บริษัทมหาชน ซึ่งเมื่อก่อนธนาคารและสถาบันการเงินซื้อไม่ได้ แต่ปี 2024 สามารถทำได้แล้ว ซึ่งบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในโลกอย่าง Blackrock ก็เข้ามาถือด้วย

ผู้ลงทุนรอบนี้ไม่ใช่มีแค่รายเล็กแบบเดิมแล้ว ทำให้ตลาดอาจจะไม่ขึ้นสุดแล้วหักหัวลงมาสุดเหมือนแต่ก่อน อาจจะนิ่งกว่าแต่มั่นคงกว่า หลายกองทุน

ลองคิดดูว่าถ้าบริษัทแบ่งเงินหรือสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) 10% มาเป็น BTC จะทำให้ตลาดโตได้อีก 100% และถ้าทุกประเทศถือ Bitcoin ในสัดส่วน 1% ของ GDP จะทำให้ตลาดของบิตคอยน์โตขึ้นได้ 228.79%

‘Strategic Reserved’ หรือ ‘ทุนสำรองบิตคอยน์เชิงยุทธศาสตร์’

นอกจากธนาคารหรือสถาบันการเงินจะเข้ามาถือบิตคอยน์แล้ว หลายประเทศเริ่มมีนโยบายกลยุทธ์ถือบิตคอยน์เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ

อย่างอเมริกา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศชัดเจนว่าเขามุ่งมั่นที่จะทำให้อเมริกาเป็นผู้นำระดับโลกด้าน Bitcoin และเทคโนโลยี AI

ซึ่งอย่าลืมว่าบิตคอยน์มีจำกัด การที่ถือครองจำนวนมากเช่นหลักแสนหรือหลักล้านไม่ได้หาซื้อได้ง่าย เพราะการจะซื้อได้ต้องมีคนขาย ถ้าไม่มีคนขาย เราก็ซื้อไม่ได้ (ในราคาที่ยอมรับได้) ซึ่งหลายคนไม่ยอมขายเพราะมองในระยะยาว

“Diamond hands” – นักลงทุนที่แข็งแกร่งและแน่วแน่ที่จะถือสินทรัพย์ไว้ แม้ว่าราคาจะผันผวนหรือตกต่ำอย่างมาก ไม่ยอมขายสินทรัพย์ พวกเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของสินทรัพย์ที่ลงทุน

Ethereum != Bitcoin

Ethereum (ETH) ไม่ใช่แค่ ‘อีกหนึ่งเหรียญ’ แต่มองตัวเองเป็นเหมือน ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ หรือ backbone ของโลก Decentralized เช่นเดียวกับ iOS ที่ให้ App อื่นมารันได้ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของ Web3

แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้ ETH ช่วงนี้เติบโตช้า เพราะเม็ดเงินลงทุนของ VC หรือนักลงทุน รวมทั้งคนเก่งๆที่เป็นหัวกะทิด้านเทคของโลก ส่วนใหญ่ไปลงที่ AI มากกว่าเพื่อการแข่งขันในช่วงนี้ (ไม่ใช่ไม่โต แต่ไม่ใช่ช่วงนี้)

อนาคตของเทคโนโลยีบล็อกเชน

หุ่นยนต์

ในอนาคตอันใกล้ เมื่อหุ่นยนต์ราคาจับต้องได้ จะเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น และอาจจะใช้คริปโตเป็นสื่อกลางในการซื้อขาย เพราะเราคงไม่สามารถยัดเงินกระดาษลงหุ่นยนต์ได้

Web3

ปัจจุบันเรามีข้อมูลอยู่บนโซเชียลมีเดียและสื่อต่าง ๆ อาจจะโดนเอาไปใช้งานในทางที่ผิด เช่นทำ Deepfake นำไปทำเสียงหรือวิดีโอคอลเพื่อหลอกลวง เริ่มมีการพัฒนานำข้อมูล biometric เช่น ลายนิ้วมือ ใบหน้า เสียง หรือม่านตา เข้าไปเก็บและจัดการบนบล็อกเชน เพื่อใช้ติดตามและตรวจสอบว่าเราได้อนุญาตให้บุคคลหรือองค์กรใดเข้าถึงข้อมูลหรือบริการต่างๆ ทำให้เราเป็นเจ้าของ IP (ทรัพย์สินทางปัญญา) ได้ ช่วยตรวจสอบได้ว่าข่าวจริงหรือข่าวปลอม

ในตลาดหุ้นแบบดั้งเดิม นักลงทุนต้องพึ่งพาความน่าเชื่อถือของตลาดและการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี ซึ่งมีความเสี่ยงจากการทุจริตหรือการตกแต่งข้อมูลเหมือนกรณี STARK ขณะที่ตลาดคริปโตใช้ระบบตรวจสอบแบบกระจายศูนย์ที่เปิดเผยโปร่งใส ทำให้ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบข้อมูลได้เอง ลดความจำเป็นต้องเชื่อใจบุคคลหรือองค์กรกลางเพียงฝ่ายเดียว

เริ่มลงทุนเริ่มที่ “Mindset”

หากวันนี้อยากเริ่มลงทุน ต้องเริ่มจากการที่ Mindsetที่ถูกต้องและมีความรู้พื้นฐาน และมีความสามารถควบคุมอารมณ์ได้ (Ability to control emotion)

อย่าเอาเงินร้อนมาลงทุน (เงินที่ต้องใช้จ่ายในระยะสั้น เช่น ค่าใช้จ่ายประจำวัน) เพราะหากตลาดเกิดความผันผวนหรือต้องการใช้เงินด่วน อาจทำให้ต้องขายสินทรัพย์ลงทุนแบบเร่งด่วน (panic sell) ซึ่งมักขายในราคาต่ำและขาดทุนได้ และไม่ควรกู้เพื่อมาลงทุนเพราะมีความเสี่ยงสูงเช่นกัน

อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าตลาด

การลงทุนควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่าหวัง quick win

ควรลงทุนด้วยจังหวะของตัวเอง โดยไม่ควรเปรียบเทียบกับคนรอบข้าง เพราะแต่ละคนมีเป้าหมายการลงทุน ความสามารถในการรับความเสี่ยง และสถานการณ์ทางการเงินที่แตกต่างกัน

เพราะ…การหาเงินไม่มีวันง่าย

จะเป็นนักลงทุน VS. นักธุรกิจ

  • นักลงทุน => ลงทุนง่ายกว่า แต่ต้องมีเวลา และยอมรอ
  • นักธุรกิจ => มั่นใจว่าสามารถสร้างสิ่งสินค้าหรือบริการที่ดีกว่า ต้อง disrupt ได้

ทุกคนอยากสำเร็จ แต่มีเวลาเท่ากัน

สิ่งสำคัญคือต้องบริหารเวลาเป็น

ชีวิตเรามีหลายมิติ นอกจากธุรกิจ ด้านการเงิน ยังมีด้านสุขภาพ ด้านครอบครัว มีเครื่องมืออย่างวงล้อแห่งชีวิตที่อยากชวนไปสำรวจตัวเอง เราไม่สามารถละทิ้งมิติด้านใดด้านหนึ่งได้ เพราะถ้าด้านใดเยอะเกินไปมันจะกระทบด้านอื่น

ถ้าถามว่าต้องเริ่มจากอะไร ?

ให้เริ่มจากที่ “ปราถนาที่อยากจะได้จริงๆ” และอยากให้ลองย้อนมาดูว่า เรายอมจ่ายหรือยอมเสียสละเพื่อความสำเร็จนั้น

“Willing to pay the prize”

.

เรียบเรียงโดย SafeSnapp

สรุปเนื้อหาจากงาน Bitkub Meetup 2025 ครั้งที่ 6 โดย

  • คุณหมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ – Co-CEO of SIX Network and Plearn, Fund Manager at 500 TukTuks and Whale Ground Funds
  • คุณ CK Cheong – CEO of Fastwork
  • คุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา – Founder & Group CEO of Bitkub Capital Group Holdings

ทาง BITKUB กำลังจะจัดงาน BITKUB SUMMIT 2025 BITKUB SUMMIT 2025 ภายใต้แนวคิด “Gateway to the Future: เปิดประตูเทคโนโลยีและการลงทุนสู่โลกอนาคต” มาพร้อมกับธีมหลัก 3 ด้าน การลงทุน, สุขภาพ และเทคโนโลยีแห่งอนาคต จัดขึ้นในวันที่ 25-26 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เข้าร่วมงานได้ฟรี

ลงทะเบียนได้ที่ https://dataechooo.com/regist-BKS25

Table of Contents

Picture of Jatawat Xie

Jatawat Xie

งานหลักเป็น PM งานเสริมเป็น Content Creator ที่สนใจในเรื่องของดาต้า เทคโนโลยี จิตวิทยา การพัฒนาตัวเอง เวลาว่างชอบดูละครเวที ดูคอนเสิร์ต ฟังเพลง
Picture of Jatawat Xie

Jatawat Xie

งานหลักเป็น PM งานเสริมเป็น Content Creator ที่สนใจในเรื่องของดาต้า เทคโนโลยี จิตวิทยา การพัฒนาตัวเอง เวลาว่างชอบดูละครเวที ดูคอนเสิร์ต ฟังเพลง